เด็กก็มีสังโยชน์
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถ้าฟังธรรมะ คนฟังเป็นนะ คนมีพื้นฐานฟังธรรมะนี้ดีมาก แต่ถ้าคนฟังธรรมะไม่เป็น เอ๊ คุยอะไรกัน ไม่รู้เรื่องเลย เสียเวลาน่าดู ตอนเรามาอยู่ที่โพธารามใหม่ๆ ไง เวลาเทศน์ไปแล้ว พวกโยมเขามาใหม่ เขาไม่รู้จัก เขาต้องกลับบ้านใช่ไหม เขากลัวจะไม่ได้กลับบ้าน
เอ๊ เมื่อไหร่หลวงพ่อจะเทศน์สักที เพราะเทศน์แล้วมันจะได้จบ จะได้กลับบ้านไง นั่งพูดจนจบยังไม่รู้ว่าเทศน์นะ เอ๊ เมื่อไหร่หลวงพ่อจะเทศน์สักที ก็เทศน์อยู่แล้ว นี่พูดถึงฟังธรรมะ มันต้องมีโอกาส ต้องมีเวลา หลวงตาเวลาท่านจะเทศน์เห็นไหม ต้องนิ่ง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเทศน์เห็นไหม ต้องเทศน์อนุปุพพิกถาก่อน เทศน์เรื่องของทานก่อน ให้คนมันปรับอารมณ์ มันปรับความเข้าใจเห็นไหม แล้วถ้าคนมีธุระปะปัง ท่านจะให้มันเสร็จงานก่อน เราละล้าละลังอยู่เราฟังเทศน์ไม่ได้หรอก
เรื่องนี้เรื่องของจิตนะ เรื่องของจิตนี้มันไวมาก มหัศจรรย์มาก ถ้าเรื่องของจิตไวมาก มหัศจรรย์มาก คนที่เคยผ่านมันมา เคยมีกระบวนการมา มันจะรู้ไง แล้วมันจะแก้ไขของมัน ถ้าไม่เคยเกิดกระบวนการอย่างนี้มามันไม่เข้าใจนะ ทำอะไรก็ได้ มันก็เป็นวิทยาศาสตร์ไง
ถ้าเรื่องอย่างนี้ปั๊บ ถ้ามันเข้าใจอย่างนี้ ครูบาอาจารย์ท่านเข้าใจอย่างนี้ นี่เข้าใจเขาเรียกละเอียด พอละเอียดปั๊บ เราก็เห็นแล้ว ดูสิ เห็นไหมเวลาหลวงตาท่านพูดถึงหลวงปู่เจี๊ยะ เราก็มองว่าหลวงปู่เจี๊ยะไม่ละเอียดเห็นไหม หลวงปู่เจี๊ยะเป็นคนที่ว่า โอ้โฮ ดุมากนะ แต่หลวงตาบอกว่า ถ้าไม่ละเอียดอยู่กับหลวงปู่มั่นไม่ได้ เป็นพระที่รักษาบริขารหลวงปู่มั่น
เพราะหลวงปู่เจี๊ยะเล่าให้เราฟังเอง เราอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะ เวลาย้อมผ้าหลวงปู่เจี๊ยะมานั่งเฝ้าเลย แล้วก็ย้อมผ้ากัน โน้นก็ผิด นี่ก็ผิด เราก็ถามว่าแล้วถูกมันคืออะไรล่ะหลวงปู่ ถูกมันคืออะไรล่ะ ถูกต้องมันต้องเป็นสีอย่างนี้สิ สีอย่างนี้ มันเหมือนกับเราเคยเห็นไหม ต้องสีแบบตลาดนิยม แบบว่าออกเหลืองๆ ไง
แล้วมันออกเหลืองที่ว่าเป็นกรัก ท่านบอกว่าไม่ถูก สีนี้เป็นสีพระอินทร์ หลวงปู่มั่นเอาตายเลย แล้วที่ถูกมันคือสีอย่างไร ท่านบอกว่าสีที่ถูก คือสีที่วัดอโศฯ ที่อยู่ที่กุฏิของหลวงปู่ลีนั่น สีออกแดงๆ นั้น ออกแดงๆ พอออกแดงๆ มันก็ไม่เข้าใจนะ เพราะเมื่อก่อน เราจะใช้สีเขียวหัวเป็ดไง เขาเรียกสีหัวเป็ดมาผสมสี แล้วมันจะออกสีกรักๆ ออกสีแบบว่าตลาดนิยม ก็ดูว่าประสาเราว่าจิ๊กโก๋ แต่หลวงปู่ว่าผิด
แล้วสีที่ถูกมันสีอย่างไร แล้วท่านก็พูดตรงนี้ออกมาไงว่า ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น ตลาดมันไม่มีใช่ไหม มันก็ใช้ไม้ขุด ขุดเป็นที่ย้อมผ้า แล้วพอดีมันมีกะละมังอลูมิเนียมมาใหม่ เขาก็นำมาถวายไง พอถวายมันโดนความร้อน พอโดนความร้อน ผ้ามันไปโดนอลูมิเนียม มันจะออกสีดำ สีดำมันจะติดมา
ท่านบอก อู้หู เราก็ตั้งใจดี หลวงปู่ท่านตั้งใจดี เพราะท่านซักย้อมผ้าให้หลวงปู่มั่น ตอนนี้ความร้อน มันปฏิกิริยามันออกสีดำ มันติดผ้าไง ท่านบอกท่านโดน โดนเอาประเด็นนี้มายำอยู่เป็นปีเลย ท่านโดนยำใช่ไหม แล้วท่านก็มายำเราต่อใช่ไหม โดนยำ ท่านยำใหญ่เลย
เรามามองคำว่าละเอียด เราก็ดูว่ากิริยามารยาท แต่คำว่าละเอียดคือความมีสติรอบคอบ ทำสิ่งใดที่อุปัฏฐากครูบาอาจารย์ด้วยความถูกต้อง ท่านโดนหลวงปู่มั่นกระหนาบมาเยอะมาก นี่คำนี้เป็นคำของหลวงตาว่า ถ้าหลวงปู่เจี๊ยะไม่เป็นคนที่ละเอียด จะอยู่กับหลวงปู่มั่นไม่ได้
คำว่าละเอียดคือ ละเอียดในหัวใจ ละเอียดจากภายใน ละเอียดจากสติปัญญา ละเอียดจากข้างใน แต่เราไปดูกันที่กิริยาจากภายนอกไง ว่าหยาบละเอียดเห็นไหม ทีนี้ถ้าจิตใจมันละเอียด ฟังธรรมมันจะฟังเข้าใจ แล้วครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติมา มันก็อยู่ที่ความหยาบละเอียดด้วย
ถ้ามันละเอียดตามความเป็นจริงนะ จะไม่พูดผิดๆ กันออกมา พูดผิดๆ เห็นไหม อย่างที่เราเน้นย้ำเลยว่า สติไม่ต้องฝึก แล้วคำพูดมันเป็นนาย พอเราบอกว่าสติไม่ต้องฝึกใช่ไหม แล้วสติเห็นไหม โดยหลักของเขา ถ้าตั้งใจจงใจเป็นอัตตกิลมถานุโยค
เวลาครูบาอาจารย์ให้ตั้ง ให้ตั้งสติ เราพยายามจะฝึกสติ ตั้งสติ พยายามทำให้ถูกต้อง เขาบอกว่าเป็นอัตตกิลมถานุโยค ต้องไม่จงใจ ต้องปล่อยให้มันเกิดเอง แล้วคำที่เขาเน้นเลยคือเผลอแล้วจะมาเอง คำว่าเผลอก็คือไม่มีสติ เผลอก็คือเผลอไปแล้ว เผลอแล้วสติมาเอง มันเป็นไปไม่ได้หรอก
นี่เราบอกว่าถ้ามันหยาบ มันหยาบอย่างนี้ไง ถ้าละเอียดก็ละเอียดจากภายใน แล้วคนที่พูดออกมาอย่างนี้ คนที่มีหลักการว่าเป็นนักภาวนา แล้วบอกว่าสติมันจะเกิดเอง มันเป็นไปไม่ได้ มันสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย แล้วเวลากำหนดกัน เราทำสมาธิกัน ก็บอกว่าสมาธิไม่มีประโยชน์ สมาธิไม่มีประโยชน์ ไม่ได้เลย
สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ไม่มีฐานที่ตั้ง งานมาไม่ได้ ไม่มีบัญชี ไม่มีที่ตั้ง เกิดไม่ได้ ไม่เป็นคนทำคุณงามความดีไม่ได้ ไม่มีสิ่งมีชีวิต ทำคุณงามความดีไม่ได้ พูดถึงหยาบทางหัวใจนะ หยาบมาก แล้วถ้ากำหนดพุทโธ ถ้าใครทำสมาธิขึ้นมา สมาธินั้นทำให้เนิ่นช้า สมาธิไม่ถูกไปสักอย่างเลย
แต่เวลาตัวเองสอน ก็สอนให้ดูกายดูจิต ดูไปเรื่อยๆ จนจิตมันเข้าใจแล้ว มันจะลงอัปปนาสมาธิ เห็นไหม มันหยาบมาก มันหยาบหมายถึงว่าอย่างไร มันหยาบหมายถึงว่า ดูสิ การศึกษาเห็นไหม มันต้องมีจากอนุบาล มาประถม มาอุดมศึกษา มันต้องเป็นไปตามขั้นตอนของมัน
จิตที่มันพัฒนา มันก็มีไปตามขั้นตอนของมันใช่ไหม จากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน เป็นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคาผล อรหัตตมรรค อรหัตตผลเห็นไหม มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ มันมีขั้นตอนของมันไปเรื่อยๆ แต่นี่ มันจับพลัดจับผลูไง
เวลาบอกว่าการกำหนดพุทโธ การทำสมถะ เขาบอกว่าสิ่งนี้เนิ่นช้า สิ่งนี้ไม่มีประโยชน์อะไร ทำให้ตัวแข็ง แต่เวลาดูกายดูจิตไป ดันไปเกิดเป็นอัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิคือณาน ๔ นะ แล้วบอกฌาน ๒ เห็นไหม ฌานผิด ฌานตัวแข็ง ฌานผิด
แต่เวลาอัปปนาสมาธิ พออัปปนาสมาธิปั๊บ มันจะเกิดกระบวนการของมรรค เขาจะเกิดอย่างที่เขาว่านะ กระบวนการของมรรคมันจะเกิด อัปปนาสมาธิเกิดปัญญาไม่ได้ มันเกิดไม่ได้ มันหยาบมาก ว่าหยาบละเอียดแล้ว พวกนี้หยาบมากๆ ๆ เลย พอหยาบมาก มันจะเกิดปัญญาได้อย่างไร มันเกิดไม่ได้
พอมันเกิดไม่ได้เห็นไหม คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ต้องหยุดคิด หยุดคิดใช่ไหม พอหยุดคิดก็บอกว่ารู้ ตัวหยุดคือตัวรู้ เขาบอกนะ หลวงปู่ดูลย์ท่านบอกว่าคิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิด แต่การหยุดคิดก็ต้องใช้ความคิด เขาตัดการใช้ความคิดนี้ออกไปเลย ให้รู้เฉยๆ เพราะจิตมันหยาบ มันไม่รู้ไง
เราจะบอกว่า เวลาพูดออกมา มันหยาบละเอียดมันตรงนี้ ถ้ามันหยาบนะ มันเข้ากับธรรมะไม่ได้ มันเข้ากับความจริงไม่ได้เลย พูดธรรมะเหมือนกันนี่แหละ แต่มันจับพลัดจับผลู มันลัดขั้นตอน มันไม่เป็นไปตามธรรมะที่ควรจะเป็นไป อย่าง ศีล สมาธิ ปัญญา นี้ เอ๊า สติก็ไม่ต้อง สมาธิก็ยิ่งเสียหายใหญ่เลย เพราะสมาธิทำให้ตัวแข็ง สมาธิทำให้ผิดพลาด มันตัดพื้นฐานทิ้งไปเลย แล้วกระโดดไปเอาปลายเลย
พอเอาปลายเลยนะ กลับเป็นอัปปนาสมาธิ คือกลับมาตั้งต้นใหม่ไง เวลาตัวเองจะโดดไปเอามรรคผลเลยนะ มันเกิดอัตโนมัติ มันเกิดโดยธรรมชาติของมัน เกิดโดยอัตโนมัติเลย ปัญญาจะเกิดโดยอัตโนมัติเลย นี่ไง นั่นคือจุดเริ่มต้นของสมถะเรา นั่นคือจุดเริ่มต้นของกรรมฐาน เพราะอะไร
เพราะ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ นี่ไง อัปปนาสมาธิก็คือสมาธิ อุปจารสมาธินี้เกิดปัญญาได้ ขั้นของอุปจาระเกิดปัญญา ทีนี้พอเกิดปัญญา เพราะจิตยังอ่อน เราเข้าขณิกะ เราเข้าอุปจาระ เป็นพื้นฐานที่ยังไม่แน่น ไม่มั่นคง
พวกเราถึงพยายามทำสมาธิเข้าไปถึงอัปปนาสมาธิ เข้าไปมั่นคง แต่สมาธิที่มั่นคงอย่างนั้น มันจะทำให้เกิดปัญญาไม่ได้ ถึงต้องคลายตัวออกมาที่อุปจารสมาธิ แล้วทีนี้การเข้าไปอัปปนา คือการเข้าไปเพื่อพัก เพื่อไปให้จิตมันมั่นคง ถ้าจิตมันไม่มั่นคง จิตนี้มันทำงานไม่ได้
เหมือนเงินนี่ เอาเงินฝากธนาคารไว้นะ เพื่อให้เงินมันมากๆ ฝากธนาคารไว้ เราถือสมุดเล่มหนึ่งไปใช้เงินได้ไหม มันไม่ได้หรอก เราต้องไปเบิกเงินออกมา นี่ก็เหมือนกัน เพราะอัปปนาสมาธิ มันออกมาใช้ประโยชน์ไม่ได้ มันเป็นที่พักผ่อนของใจ มันเป็นฐานของใจ แล้วเขาบอกว่า พอถึงตรงนั้นมันจะเกิดปัญญาโดยอัตโนมัติ กระบวนการของมรรคมันจะเกิด
เวลาเขาเทศน์ กระบวนการของมรรคมันจะเกิด เกิดไม่ได้ กระบวนการมรรคเกิดไม่ได้เลย เอาเงินไปไว้ในบัญชีกัน แล้วเราก็บอกว่าเรามีเงินใช้ ไม่ได้เบิกมาเลยนะ บอกเงินนี้ใช้จนหมดเกลี้ยงเลย ไอ้บัญชีมันยังนอนอยู่ในบัญชีโน่น ไม่ได้ออกมาเลย อัปปนาสมาธิเป็นอย่างนั้น
อัปปนาสมาธิคือจิตมันไปสักแต่ว่ารู้อยู่อย่างนั้น เวลามันคลายตัวออกมา เหมือนเบิกเงินออกมา มันถึงจะเอามาใช้ประโยชน์อะไรได้ การที่จะเกิดปัญญาต้องเป็นอุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิเกิดปัญญาไม่ได้ ไม่ได้ หยาบมากๆ แล้วบอกว่าไม่ใช่เกิดปัญญาด้วยนะ เกิดปัญญาโดยกระบวนการของมรรคจะเกิด นี่เขาเรียกว่าโลกทัศน์ นี่วิสัยทัศน์ของคน ถ้าวิสัยทัศน์ของคนมีอย่างนี้ เราจับประเด็นได้หมด เพราะถ้าอัปปนาสมาธิปั๊บ มันก็ไปลงที่ผลของเขา คือเกิดโดยอัตโนมัติ เราถึงบอกว่า อัตโนมัติไม่มี เกิดเองไม่มี
แล้วเขาก็เอามาอ้าง เมื่อวานเราพูดถึงว่า เขาเอามาอ้างว่า หลวงตาพูดวันที่ ๒๖ พฤษภาว่า มรรคมันเกิด ปัญญามันจะเกิดโดยอัตโนมัติ ท่านบอกว่ากิเลสเกิดโดยอัตโนมัติก่อน แล้วพอกิเลสมันอัตโนมัติ เราก็ฝึกฝนขึ้นไป ต่อสู้กับกิเลสเป็นอัตโนมัติ จนมันจะมีความชำนาญไง
เหมือนนักมวยต่อสู้กัน ด้วยความชำนาญ กำลังต่อสู้กันด้วยความเข้มข้น นี่ก็เหมือนกัน สติปัญญากับกิเลสมันต่อสู้กัน เหมือนกับอัตโนมัติ คำว่าอัตโนมัติของหลวงตา คืออัตโนมัติแล้วมันยังมีกระบวนการของมันต่อไป หลายซับหลายซ้อน อัตโนมัติคือความชำนาญไง แต่เดิม กิเลสมันขี่หัวอย่างเดียว ปัญญาไม่มีเลย สู้ไม่ไหวเลย
แต่พอเราฝึกฝนขึ้นมา จนปัญญามันต่อสู้ได้ มันยับยั้งได้แล้วปัญญามันต่อสู้กันท่านบอกว่าเหมือนอัตโนมัติเลย กิเลสมันต้องเริ่มหลบแล้ว เห็นไหม พออัตโนมัติแล้ว ท่านยังมีกระบวนการต่อไปไง อัตโนมัติคือกิริยา คือปัญญามันเริ่มทำงาน แต่ผลที่มันเกิดขึ้นมันยังมีอีกใช่ไหม
แต่นี่เขาบอกว่า กระบวนการอัปปนาสมาธิ แล้วกระบวนการของมรรคมันจะเกิด พอกระบวนการของมรรคจะเกิดขึ้นมา กระบวนการมันจะเกิดไง แล้วเหมือนว่ามันจะเกิดโดยอัตโนมัติ อัตโนมัติอย่างนี้มันเป็นผล ไม่มี แต่อัตโนมัติของหลวงตามี คำว่าอัตโนมัตินะเป็นกิริยา เป็นการหมุนไปของปัญญา
นี่ถ้าจิตมันละเอียด มันจะเข้าใจ มันจะรู้ของมันไป ถ้าจิตมันหยาบจะไม่รู้สิ่งใดเลย แล้วก็ตั้งประเด็นมาตอนนี้ไงว่า เด็กเกิดมาไม่มีสังโยชน์ เป็นความไร้เดียงสา เด็กนี้ไร้เดียงสาไม่มีสังโยชน์ มันแบบว่ากำปั้นทุบดินเลย เป็นไปไม่ได้ คนเกิดทั้งหมด แม้แต่พระอนาคายังไปเกิดบนพรหม พระอนาคายังเกิด แต่ไปเกิดบนพรหม ไม่มาเกิด
การเกิดเป็นสังโยชน์หมด เด็กเกิดมามีสังโยชน์ทั้งนั้น เพราะจิตมันเกิด ไม่มีทาง เขาบอกว่าเด็กมันไร้เดียงสา เด็กเกิดนี้ไม่มีสังโยชน์ มันสะอาดบริสุทธิ์ มันคิดแบบนี้ไง คิดแบบจิตหยาบๆ ไง ถ้าอย่างนั้น เด็กเกิดมานะ ถ้าสตัฟฟ์ได้สตัฟฟ์เลยเนาะ ไม่ต้องมาเป็นทุกข์ยากกับเราเนาะ
เขาคิดแบบวิทยาศาสตร์ไง ว่าเด็กเกิดมาแล้ว มันมีสภาพแวดล้อม เด็กจะดีจะชั่ว ก็เพราะการฝึกฝน การสะสมในทางโลก ถ้าเด็กมันเกิดมาขาวสะอาดแล้ว อันนี้มันก็ไปลงอันเดียวกันว่า เมื่อก่อนที่เถียงกันไงว่า จิตเดิมแท้เป็นพระอรหันต์ แล้วจิตเดิมแท้มันเกิดทำไมไง
เมื่อก่อนเถียงกันนะ ตอนเรามาบวชใหม่ๆ โอ๊ย เขาเถียงกันรุนแรงมากเลยว่า จิตใสสะอาด จิตสว่างไสวคือพระอรหันต์ แล้วอีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าไม่ใช่ มันยังมาเกิดอีก แล้วจิตพระอรหันต์มันเกิดได้อย่างไร จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส
จิตเดิมแท้คือตัวปฏิสนธิจิต คือจิตตัวตั้ง ตัวปฏิสนธิไง ตัวเริ่มต้น ตัวฐาน เวลาใครทำสมาธิเข้าไปเห็นไหม เข้าไปผ่องใส ผ่องใสเห็นไหม เข้าไปถึงตัวเดิมแท้ไง จิตตัวตั้งต้น จิตตัวแรก จิตตัวปฏิสนธิ ทีนี้คำว่าจิตตัวแรกนี้มันก็ไม่มีอีก ไม่มีเพราะอะไร เพราะมันมีเกิดตายเกิดตายมาในวัฏฏะ มาไม่มีต้นไม่มีปลายใช่ไหม
พอมาเกิดเป็นมนุษย์มีตัวต้นที่ไหน เพราะอดีตชาติล่ะ แต่เอาตัวต้นเฉพาะในปัจจุบันนี้ไง เอามาเป็นตัวต้น ตัวตั้งฐาน เพราะตอนที่เราจะกระทำนี้ไง เราจะเข้าไปหาตัวตนของเรา มันตัวต้นในปัจจุบันนี้ แต่มันได้ซับสมมาแต่อดีตชาติมหาศาลแล้ว จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองด้วยกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นด้วยกิเลส
อันนี้พอเรามาเห็น ประเด็นมาเมื่อวาน เขาบอกว่าตั้งมาแล้วว่า เด็กไม่มีสังโยชน์ แล้วเด็กมันไร้เดียงสา ไร้เดียงสาคือไม่มีสังโยชน์ ไร้เดียงสามันร้องไห้ มันจะเอาของมันไร้เดียงสา ไร้เดียงสาก็คือการไร้เดียงสาของเด็ก
แล้วบางคนนะ เราไปเจอในตำรา ที่เขียนๆ กันมา เมื่อก่อนจะบอกว่าแผนที่ผิดก็ ชี้ให้เราทำผิดนะ มีคนพูดมากเลยว่า ความไร้เดียงสาคือสะอาดบริสุทธิ์ มันไม่มีทาง เขาตีกันว่าความไร้เดียงสานี้เหมือนพระอรหันต์ แล้วพระอรหันต์เกิดการไร้เดียงสาอย่างนั้น
เราเทศน์ไว้มีอยู่ เก่าๆ ไปเปิดได้ ธรรมะไม่ใช่ไร้เดียงสา พระอรหันต์ไม่ใช่ไร้เดียงสาหรอก พระอรหันต์นี่รู้ตัวทั่วพร้อม รู้อยู่พร้อมเลย แล้วรู้ถึงการกระทำ รู้ถึงจิตที่มันจะคิดอะไรออกไป แล้วรู้พร้อมหมด แล้วยับยั้งได้ด้วยเห็นไหม ไม่เบียดเบียนตนและไม่เบียดเบียนผู้อื่นไง คือตนไม่เบียดเบียน ตัวจิตไม่เสวยอารมณ์ใช่ไหม
ดูสิ หลวงตาบอกว่า ธรรมธาตุคือตัวนิพพาน คือธรรมธาตุ มันเทศน์ไม่ได้ มันทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น เวลามันจะใช้งานใช้ประโยชน์ของมัน มันเสวยอารมณ์ มันเสวยอารมณ์เห็นไหม ดูสิ ภารา หเว ปัญจักขันธา ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เป็นเศษส่วน เป็นภาระ เป็นเศษที่ทิ้งแล้ว จิตมันพ้นออกไปแล้ว แต่อาศัยร่างกายนี้อยู่ สอุปาทิเสส นิพพาน มันไม่ใช่การไร้เดียงสาหรอก มันรู้ตัวทั่วพร้อม มันฉลาด โคตรฉลาดเลย โคตรฉลาดตรงไหน โคตรฉลาดตรงที่มันรู้จักตัวมันเองก่อน ไม่ใช่ฉลาดกับคนอื่นนะ ไม่ใช่ฉลาดกับทางธุรกิจ ไม่ใช่ฉลาดกับการบริหารจัดการ ไม่ใช่ฉลาดทางโลก ไม่ใช่ฉลาดอะไรเลย มันฉลาดในตัวมันเอง มันฉลาดที่มันรู้จักตัวมันเอง มันฉลาดเท่าทันตัวมันเอง แต่พวกเราโง่กับตัวเอง แต่ฉลาดกับคนอื่นหมดเลย
นี่โคตรฉลาด ไม่ใช่โคตรฉลาดแบบทางโลกนะ โคตรฉลาดในตัวมันเอง มันโคตรฉลาดที่มันรู้ตัวมัน มันเข้าใจในตัวมัน มันไม่หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวมัน มันสุขมันสบายของมัน มันโคตรฉลาดเลย ไม่ใช่ไร้เดียงสา แต่เราไง เวลาเข้าไปตีความกันว่าพระอรหันต์ไร้เดียงสา เขาจะให้พระอรหันต์เหมือนเด็กไง เขาว่าเด็กไร้เดียงสา เขาว่าพระอรหันต์ก็ไร้เดียงสา
เราเคยอ่านเจอบ่อย มีพระพูดอย่างนี้กันเยอะ แต่ก็ถือว่ามันเป็นความผิดพลาด มันเป็นความไม่เข้าใจของพระองค์นั้น แล้วพระองค์นั้นจะเทศนาว่าการออกไป มันก็เรื่องของพระองค์นั้น ทีนี้เมื่อวานนี้ก็มา เขาบอกว่าเอาอีกแล้ว มาออกในเว็บไซต์อีกแล้วว่า เด็กเกิดใหม่ไม่มีสังโยชน์
เราถึงว่านี่มันหยาบมาก ถ้ามันได้ปฏิบัติซะหน่อยหนึ่ง มันมีความเข้าใจซะหน่อยหนึ่ง มันสะอาดบริสุทธิ์ขนาดไหน มันจะไร้เดียงสาขนาดไหน ไอ้นี่มันเป็นผล มันเป็นวิบาก มันเป็นผลของการเกิด ปฏิสนธิจิตมันเกิดในไข่นั่น ตัวสังโยชน์มันพามาเกิด มันมีแรงขับ
ในเมื่อมันเกิดมาแล้ว มันจะไม่มีสังโยชน์ได้ยังไง ถ้ามันไม่มีสังโยชน์มันก็จะไม่มาเกิด คือไม่มี มันไม่มีการมาเกิด ไม่มีสังโยชน์ นี่ไง คำว่าสังโยชน์ สังโยชน์ เวลาพูดชำระกิเลส จะฆ่ากิเลสกัน แล้วฆ่าตรงไหน กิเลสอยู่ที่ไหน ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นกิเลสใช่ไหม แล้วสังโยชน์มันคืออะไร แล้วสังโยชน์มันอยู่ที่ไหน หาสังโยชน์ไม่เจอ ไม่รู้ว่าสังโยชน์เป็นอย่างไรด้วยนะ
เราถามเลย เวลามาพูดถึงธรรมะ โอ๊ย เป็นพระอรหันต์ทั้งนั้นเลยเอ่อ ถามไปถามมา มันก็แถกันไปแถกันมา แบบว่าเขาก็เอาสีข้างเข้าถู ก็ถามตรงๆ เลยแล้วละสังโยชน์ยังไง โอ้ สังโยชน์เป็นเรื่องใหญ่ มันละได้อย่างไร พระอรหันต์นะ พระอรหันต์บอกว่าสังโยชน์เป็นเรื่องใหญ่ เวร
พระโสดาบันก็สังโยชน์ขาดไป ๓ ตัวแล้ว พระสกิทาก็กามราคะปฏิฆะอ่อนไป พระอนาคาสังโยชน์ ๕ ตัวขาดไป พระอนาคาติดสังโยชน์เบื้องบน รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา รูปราคะ อรูปราคะ ก็คือ รูปฌาน อรูปฌาน มานะ อุทธัจจะคือความเพลินในตัวมันเอง อวิชชาคือความไม่รู้ ไม่รู้ในอะไร ไม่ใช่ไม่รู้ รู้คดโกงเขาหมด รู้หมด รู้ส่งออกหมดเลย แต่ตัวมันเองไม่รู้จักตัวมันเอง ไม่เคยเห็นตัวมันเอง ถ้าสังโยชน์ไม่มี มันจะเอาอะไรมาเกิด มันเกิดไม่ได้
ทีนี้ถ้าบอกว่า เขายังมาเกิดอยู่ เพราะเขายังไม่สิ้นเป็นพระอรหันต์ สังโยชน์เขาไม่มี ถ้าเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันเกิดอีก ๗ ชาติ อ้าว พระโสดาบันก็มาเกิดอีก โสดาบันสังโยชน์ขาดไป ๓ ตัว แล้วสังโยชน์ยังอยู่อีก ๗ ตัว ไม่มีสังโยชน์ตรงไหน
แม้แต่พรหมเห็นไหม อนาคามันยังมีสังโยชน์ อนาคาก็รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา พระอนาคาไม่เห็นตรงนี้นะ พระอนาคาไม่เห็นรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา รูปราคะ อรูปราคะ ก็ความว่างไง รูปฌาน อรูปฌานในจิตไง
มานะคือมันรู้จักตัวเอง สำคัญตนอยู่ตลอดไป หงิมๆ หงิมๆ ติ๋มๆ ล่ะ แต่ในหัวใจนี่แหม กูแน่กว่ามึง กูใหญ่กว่ามึง แต่ติ๋มๆ นะ ข้างนอกติ๋มๆ นะ แต่ข้างในนี้มันขี่เขานะ นี่มานะ มานะในตัวมันเอง มันโง่กว่าตัวเองเห็นไหม ที่ว่าโคตรฉลาดมันฉลาดกับตัวเอง นี่มันโง่กว่าตัวเองไง มารยาทสังคม โอ้โฮ แช่มช้อย เรียบร้อย แต่ในใจล่ะ
มานะ อุทธัจจะ อุทธัจจะ คือความพลังงานในตัวมันนั่นล่ะคืออุทธัจจะ ขยับเป็นอุทธัจจะทันทีเลย พลังงานในตัวจิตนั่นล่ะคืออุทธัจจะ อวิชชา อวิชชามันไม่รู้ตัวมัน มันละเอียดมาก ถ้ามันทำลายตัวนี้หมดแล้ว มันก็จบ สังโยชน์ขาดหมด
สังโยชน์ขาด ขาดอย่างไร ถึงพูดไว้เห็นไหมว่า การฆ่าอวิชชา การฆ่ากิเลส มันจะพลิกศพมันเลยนะ ถ้าเป็นโสดาบันนะ ก็พลิกศพของสักกายทิฏฐิเลย สกิทาคามี กามราคะปฏิฆะอ่อนลงพลิกศพมันเลย คำว่าพลิกศพคือ ยถาภูตัง ญาณทัสสนัง ยถาภูตัง รู้ตัวเองรู้ว่ากิเลสขาด เห็นไหมกิเลสมันขาดไป เวลาปัจจยาการมันเกิดขึ้น เวลาพิจารณาไป ต่อสู้กันมันขาด แล้วขาดไปแล้ว ยถาภูตัง เกิดญาณทัสสนะ รู้ว่าเป็นโสดาบัน รู้ว่าเป็นสกิทา รู้ว่าเป็นพระอนาคา รู้ว่าสิ้นกิเลส มันมั่นคงของมันขนาดนั้น
แต่ไปดูในหนังสือเขาเห็นไหม พระโสดาบัน เกิดทัสสนะ ทัสสนะคือ ทิฏฐิ ทิฏฐิคือความเห็น เห็นว่าสักแต่ว่า เวรกรรม.. เวร.. มันหยาบเกินไป ตอนที่เขาให้ค่าของพระโสดาบันไง ว่าโสดาบันของเขาเกิดทัสสนะ เขาตีว่าทัสสนะคือความเห็นนะ เขาไม่เข้าใจถึงญาณทัสสนะ
เขาเข้าใจว่าทัสสนะ แต่ญาณหยั่งรู้ ญาณที่ไปเกิดจากความรู้สึก เกิดจากจิต เพราะเขาไม่เคยเห็นจิตไง พวกนี้ไม่เคยเห็นจิต ไม่รู้จักจิต ไม่รู้จักสมาธิ ไม่รู้จักจิต แต่ดูนะ ดูที่ความคิด ความคิดเกิดดับ แต่เขาไม่รู้จักจิต ไม่รู้จักการเกิดญาณ จิตคือความรู้สึก ญาณหยั่งรู้ ความรู้สึก ความรับรู้ ความสงบร่มเย็น นี่คือเกิดญาณทัสสนะ
แต่เขาไม่รู้จักญาณทัสสนะ พอบอกว่าทัสสนะคือทิฏฐิ ทิฏฐิคือทัสสนะ ทิฏฐิคือความเห็น พูดนี่ต้องปิดไมค์ก่อน โอ๊ย อ่านแล้วมัน อื้อฮือ อื้อฮือ เลยนะ มันพูดอย่างนี้กันได้อย่างไร นี่ไง หลวงตาเคยสอนไว้ ผู้รู้ในโลกนี้มี เราจะทำสิ่งใดไป คนรู้มีนะ ถ้าคนรู้มี เราทำอะไรไป เขาจะรู้ มันน่าอายเขา แต่โดยทั่วไป มันก็ตามกันไปตามกระแสกัน
ถ้าไปถึงคนรู้ คนรู้ออกมานี่เราจะเสียหายมากเลย แต่เขาบอกว่าเด็กมันไม่มีสังโยชน์ ไม่ได้ แต่เขาคิดแบบวิทยาศาสตร์ คำว่าไม่มีสังโยชน์ คือว่ามันเกิดมามันไร้เดียงสา เขาคิดว่าไร้เดียงสา เขาคิดเหมือนกับเชื้อโรค สายตามองไม่เห็นนี่สะอาดบริสุทธิ์นะ มันยังไม่เอาเข้ากล้องจุลทรรศน์ มันยังไม่เพาะเชื้อ มันจึงไม่เห็น ไม่เห็นว่าเชื้อโรคในตัวมันมี นี่ก็เห็นว่าไร้เดียงสาไง ไร้เดียงสาก็คือมันไม่มีกิเลสไง ถึงบอกว่าเด็กไม่มีสังโยชน์
นี่ไง มันจะไปใหญ่แล้ว พูดออกมาว่าเด็กนี้ไม่มีสังโยชน์ โอ้ ไม่มีสังโยชน์มันจะเกิดมาได้อย่างไร เพราะมันหยาบไง แต่ถ้ามันละเอียด ปฏิสนธิจิต ถ้าจิตเวลามันแก้ไขของมัน โสดาบันมันแก้ไปเปาะหนึ่ง สกิทาแก้ไปเปาะหนึ่ง อนาคามันตัดเปลือกออกหมดเลย เหมือนจิตเดิมแท้ มันเหลือแต่จิตใสๆ แล้ว มันไร้เดียงสายิ่งกว่านี้อีก
แล้วสิ่งที่จะเขาจะไปจับมัน อะไรจะไปจับมันได้ พอจับมันได้เห็นไหม นี่ต้องอรหัตตมรรค พอจับมันได้แล้วคลี่คลายมัน พอคลี่คลายมันถึงที่สุด อย่างที่ว่า รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ขยับนี่ พลังงานนี้ถ้าขยับเป็นอุทธัจจะ ขยับไม่ได้
อย่างเช่น ตั้งแต่โสดาบัน สกิทา อนาคา ๒ มือจับกันเห็นไหม มันจับกัน ระหว่างขันธ์กับจิต ระหว่างความคิดปัญญา ปัญญาญาณ เห็นไหม ปัญญาที่มันเกิดขึ้น วิปัสสนา มันเกิดจากจิตที่เป็นสมาธิ มันก็เกิดเป็นปัญญาญาณ แต่ถ้ามันไม่มีสมาธิ มันไม่เป็น ๒ มือเห็นไหม มันเป็นมือเดียว
เวลาถ้าไม่มีสมาธิปั๊บ ความคิดกับพลังงานมันก็อันเดียวกันเห็นไหม พออันเดียวกันมันก็เป็นโลกไง โลกคืออะไร โลกคือจิตที่เป็นอวิชชา จิตที่เป็นอวิชชามันคิด ไป ทั้งๆ ที่คิดธรรมะนี่แหละ โอ้ คิดธรรมะนะ สมุจเฉทปหานนะ ขาดหมดเลยนะ แต่มันคิดโดยตัวตน คิดโดยเรา
แต่ถ้ามีสมาธิมันแยกแล้ว สมาธิไม่ใช่ขันธ์ สมาธิคือจิต จิตไม่ใช่ขันธ์ พอมันแยกออกมา พลังงานมันจะเกิดตัวนี้ พอเกิดตัวนี้เวลาปัญญามันเกิด เราจะบอกว่าปัญญาที่เกิดขึ้นมาในวิปัสสนา โลกุตตรปัญญาก็คือสังขาร ความคิดนี่แหละ สังขารความคิด แต่เพราะมันมีสมาธิ มันแยกออกมาระหว่างความคิดกับจิต พอจิตมันมีสมาธิขึ้นมา ปัญญามันเกิด พอปัญญามันเกิด กิเลสมันอยู่ที่ไหน กิเลสมันอยู่ที่จิต ปัญญามันเกิดที่นี่เห็นไหม มันไม่ใช่ปัญญาโลก โลกียปัญญา ปัญญาวิชาชีพมันจะออกไป ทางกฎหมาย ทางการแพทย์ ทางการวิชาการต่างๆ เห็นไหม ออกไปเป็นวิชาชีพ
แต่ถ้าเป็นปัญญาที่เกิดขึ้น ปัญญากับจิตเห็นไหม จิตเป็นสมาธิแล้วเกิดปัญญา ปัญญานี้เข้าไปไหน เข้าไปชำระล้างจิตเห็นไหม นี่ไง ผลของการกระทบ สิ่งที่ว่าเป็นปัญญา ตั้งแต่โสดาบัน สกิทา อนาคา เกิดจากปัญญาที่เกิดขึ้นจากจิตเห็นไหม มันจะเข้าไปชำระล้างจิต ทวนกระแสเข้าไปชำระล้างจิต มันเข้าชำระล้างจิต เป็นโสดาบัน เป็นสกิทา เป็นอนาคา พอถึงที่สุด พอถึงที่สุด จิตเดิมแท้ จิตที่ไม่มีสังโยชน์ นี่ตัวจิต รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ตัวอวิชชา ปัจจยาการ ที่ว่าตัวจิตเป็นปัจจยาการ คำว่าปัจจยาการคือมันไม่ใช่ขันธ์ ๕
ขันธ์ ๕ เห็นไหม รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันแยกกัน รูปคือรูปอันหนึ่ง คือภูเขาหนึ่ง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันแยกกันเป็น ๕ กอง มันแยกกันเด็ดขาดไง มันแยกกันไปเด็ดขาด เหมือน ๕ บัญชี แยกบัญชีกันเลย บัญชีไม่เกี่ยวกัน
แต่พอทำลายหมดแล้ว รวมบัญชี เหลือบัญชีเดียว ทีนี้เหลือบัญชีเดียวนี้ แล้วบัญชีนี้จะใช้ยังไง ปฏิสนธิจิตเห็นไหม ถึงบอกว่ามันเกิดพลังงานของมันเห็นไหม อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา... นี่คืออิทัปปัจจยตา หรือว่าปัจจยาการของมัน เพราะมันไม่แยกเป็นส่วนแล้ว มันไม่แยกเป็นกอง มันจะเป็นตัวของมันเอง
พอเป็นตัวของมันเองเห็นไหม แล้วตัวมันเอง ปัญญาที่มันใช้ ถึงบอกว่าโสดาบัน สกิทา อนาคา โอ้โฮ ปัญญาละเอียด มรรคละเอียด ไอ้ละเอียดอย่างนั้น มันยังเป็นปัญญาที่รับรู้ ปัญญาที่กระทบกัน ระหว่างจิตกับขันธ์ จิตกับปัญญากระทบกัน นี่อนาคามรรค
เวลาอัตโนมัติขึ้นมา มันเป็นตัวของมันเอง มันเป็นตัวจิต ตัวจิตมันตัวเดียวกัน รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา แล้วมันจะย่อยสลาย มันจะเข้าไปทำลายตัวมันเองอย่างไร ตัวมันเองทำลายตัวมันเอง หลวงตาบอกว่าน้ำซับน้ำซึมนะ เวลามันละเอียดเข้าไป จิตมันละเอียดมาก แล้วตัวจิตมันจะทำลายตัวมันเอง
นี่ไง พอมันทำลายตัวมันเองเห็นไหม ถ้าอรหัตตมรรคมันจะทำลายตัวมันเอง หลวงตาใช้คำว่าจิตจะเป็นมัธยัสถ์ ความว่าจิตเป็นมัธยัสถ์ มันจะเป็นตัวของมันเองล้วนๆ แล้วมันทำงานระหว่างบนความมัธยัสถ์นั้น แล้วกลืนตัวลงไป ในตัวมันทั้งนั้น คืนลงไปเห็นไหม ในตัวของมันเอง มันทำลายเห็นไหม พระอรหันต์ถึงไม่มีจิต ไม่มีภพ ไม่มีอะไรเลย
หลวงปู่ดูลย์ถึงบอกไง ทุกอย่างมีมาเรื่อยๆ จนไม่เหลืออะไรสักอย่าง ท่านพูดกับเราเรื่อยๆ จนไม่เหลืออะไรสักอย่าง เขายังบอกว่าหลวงปู่ดูลย์พูดผิด ไม่เหลืออะไรสักอย่าง คำว่าไม่เหลืออะไรสักอย่าง คือว่ามันรวมตัวเห็นไหม พอมันรวมตัวถึงตัวจิต แล้วมันทำลายตัวมันแล้ว ไม่เหลืออะไรสักอย่าง นิพพานถึงไม่มีอะไรเลยไง
เอ๊า แล้วจะพูดกันยังไง ถ้าไม่มีอะไรเลย พอไม่มีอะไรเลยก็บอกว่าหลวงปู่ดูลย์พูดผิด ความจริงท่านจะคิดว่า จิตมันทิ้งขันธ์มา พอทิ้งขันธ์มาเป็นตัวจิต ตัวจิตคือตัวนิพพานไง มันหยาบเกินไป คือเราจะบอกว่าโลกมันจินตนาการได้แค่นี้ มันจินตนาการในสิ่งที่มันจินตนาการได้ไง
แต่ธรรมะเหนือโลก ธรรมะเหนือธรรมชาติ มันจินตนาการไม่เป็นไง พอมันจินตนาการไม่เป็น มันจินตนาการไม่ได้ มันก็บอกหลวงปู่ดูลย์พูดผิด แล้วทีนี้ก็บอกว่า พอมันจินตนาการ จินตนาการแบบวิทยาศาสตร์เห็นไหม เด็กไม่มีสังโยชน์ เด็กเกิดมาแล้วก็เพราะว่าสภาวะแวดล้อม เพราะว่าครอบครัว คิดแบบจิตวิทยาไง
จิตวิทยาเด็กก็ว่าอย่างนั้น เด็กจะดีจะชั่วก็เพราะสังคม สภาวะแวดล้อม ในพระไตรปิฎกมีเยอะนะ เราไม่ได้ค้านตรงนี้นะ เราไม่ได้ค้านว่าสภาวะแวดล้อมหรือสิ่งต่างๆ ไม่มีผลกระทบ มันก็มี แต่ผลกระทบนี้มันอยู่ข้างนอก ที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์กัน ในพระไตรปิฎกนะ ในสังคมโจร เด็กเกิดมายังตั้งตัวได้ในสังคมนั้น แล้วทำตัวเองเป็นคนดี แล้วออกมาเป็นพระอรหันต์ ก็มี ในสังคมโจรนะ
ในพระไตรปิฎกนี้มีตัวอย่างมากเลย นกนะ มีนกแขกเต้าอยู่คู่หนึ่ง ตัวหนึ่งพลัดพรากจากกัน ตัวหนึ่งไปอยู่กับผู้ดี ไปอยู่กับพวกบัณฑิต จะเป็นนกนิสัยที่ดี ตัวหนึ่งไปอยู่กับไอ้นี่ ไปอยู่กับโจร มันเป็นการสื่อสารของโจรเลย นี่เขาบอกว่าสภาวะแวดล้อมทำให้มันเป็นไปได้ ทั้งที่นก ๒ ตัวนี้เป็นพี่น้องกัน ตัวหนึ่งไปอยู่สังคมที่เลวก็นิสัยเลวไป ตัวหนึ่งอยู่ในสังคมที่ดีก็ดีไป นี่ในพระไตรปิฎกก็มี
ในพระไตรปิฎกก็บอกว่า ขนาดในสังคมโจรมันก็มีคนดีได้ เหมือนกับว่าสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี สังเกตได้ไหมว่า โทษนะ ไม่ได้ดูถูก นี่พูดถึงเปรียบเทียบ อย่างเช่นในสลัม สังคมมันบีบบังคับเด็กมากเลย แต่เด็กในสลัมเป็นด็อกเตอร์ เป็นศาสตราจารย์ก็เยอะแยะ แล้วทำไมเขาทำตัวเขาดีได้ล่ะ
ใช่สภาพแวดล้อมมีส่วน มีส่วนบ้าง แต่ถ้าจิตนี้มันสร้างบารมีมามาก มันได้สร้างบุญกุศลของมันมา แต่มันก็สร้างกรรมมาด้วย มันถึงไปเกิดในสภาพแวดล้อมอย่างนั้น แต่มันก็มีบุญของมัน มันก็จะเอาตัวของมันไปในทางที่ดีได้ นี่เฉพาะคุณธรรมในดวงจิต คุณธรรมของจิตดวงนั้น บุญอำนาจวาสนาของจิตดวงนั้น นี่ก็ประเด็นหนึ่ง
อีกประเด็นหนึ่งเห็นไหม จากสภาพแวดล้อมก็มีส่วนเหมือนกัน แต่ไม่ใช่สภาวะแวดล้อมนั้นเป็นอย่างนั้น แล้วเด็กมันจะเสียหายไปหมด ไม่ใช่ เพราะเด็กมันอยู่ที่พื้นฐานของจิต ที่มันสร้างคุณงามความดีมามากน้อยแค่ไหน ฉะนั้นสิ่งที่เกิดมามันเกิดไปโดยสภาวะเวร สภาวกรรม เป็นผลของวัฏฏะ
วัฏฏะพลัดพรากให้เราเกิดไปเป็นอย่างนั้น ทีนี้เวรกรรมที่สร้างมามันเป็นอย่างนั้น เราจะไปเดือดร้อน เราจะไปตีโพยตีพายได้อย่างไร เพราะอะไร กรรมเป็นเผ่าพันธุ์นะ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโน กรรมเป็นแดนเกิด กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกันมาเองทั้งนั้นเลย สิ่งที่มาเกิด มาตกที่ไหน เพราะกรรมเราทำมาทั้งนั้นเลย พอกรรมมันพาเรามาเกิดแล้ว ในปัจจุบัน เราจะมีวุฒิภาวะ เราจะมีอุดมการณ์แค่ไหน ที่เราจะพาชีวิตเรารอดพ้นมันไป
ดูสิ ตอนนี้ ชีวิตปัจจุบัน สิ่งเร้า เห็นไหม ดีกับชั่วมันก็เร้าทั้งนั้นล่ะ สังคมที่เขาเอารัดเอาเปรียบ เขาก็มาชักชวนเราไปเป็นเพื่อน สังคมที่เขาทำคุณงามความดีกัน เขาก็มาพยายามจะดึงเราขึ้น เอ๊า แล้วเราจะไปไหนล่ะ เห็นไหม สิ่งเร้ามันมี ในเมื่อเราเอง เราก็สร้างกรรมมาอย่างนี้
ในเมื่อมันเกิดมาอย่างนี้ สิ่งเร้าจากข้างนอกมันก็มี สิ่งเร้าจากในใจเราก็มีว่า เราจะเอาอย่างไร เราจะมีอุดมการณ์ เราจะมีอุดมคติอย่างนี้ไหม เราจะฝืนตรงนี้ได้ไหม แล้วฝืนไหวไหม เราไม่ใช่พูด ไม่ใช่อวดตัวนะ อย่างสังคมนี้เราพูดให้โยมฟังทำไมเราพูดได้ แล้วคิดได้ไหมว่าเรา จะเข้าใจว่าสังคม เขาจะดึงกันอย่างไรไป
แล้วถ้าเราทำตัวเรานะเป็นอ้อ เรานี้มีความสุขนะ เราไม่ต้องทำอะไรเลยนะ เราไหลไปตามลม เราไม่ไปขวางใครมันก็จบไง แล้วเรายืนอยู่ทำไม เรายืนขวางลมขวางกระแสอยู่ทำไม เราจะบอกว่าสิ่งเร้าจากข้างในมันก็มี สิ่งเร้าจากข้างนอกก็มี แต่ในเมื่อเป็นอุดมคติ ทีนี้ประสาเรา ชีวิตของเรา เราจะเอาอย่างไร เราจะเอาอย่างไร เราจะเอาตัวเรารอดไหม
ถ้าเอาตัวเรารอด มันต้องตัวรอดด้วยวิธีนี้ สิ่งเร้าอันนั้นมันสร้างกรรม หลวงตาพูดบ่อย ออกมาช่วยโลก ท่านบอกว่าเลยว่า ถ้าไม่ใช่สายบุญสายกรรมมาด้วยกัน จะไม่เชื่อกัน ไม่ร่วมมือกันหรอก หลวงตาออกมาทำโครงการช่วยชาติ สิ่งที่เขาฟ้องร้อง เขาร้องเรียนเข้าไปถึงเถรสมาคมนะ
ใหม่ๆ บอกว่าหลวงตา ออกมาเรี่ยไรผิดกฎหมาย ไม่ได้ขออนุญาต ธรรมดามันต้องขออนุญาตนะ แต่หลวงตาไม่ได้ขอ หลวงตาทำเลย เขาร้องเรียนกัน ทำแบบหลวงตานี้ มันก็มีคนเข้ามาพยายามจะทำลายมหาศาลเลย แต่ท่านก็ทำของท่านมา เราจะบอกเห็นไหม ถ้าเราอยู่ตรงกลางก็จะมีคนชักนำไปว่า โง่ หาเงินมาแล้วไม่รู้จักใช้ประโยชน์ เอาไปใช้ให้คนอื่น โง่มากๆ เราจะเชื่อใคร
แต่หลวงตาบอกว่า เอาเงินมาๆ ไม่มีปิดประตูเลย ใครมีทองคำก็ปลดให้หมดเลย เอามาเพื่อประโยชน์กับสังคม เพื่อประโยชน์กับโลก เอาไว้ที่ตัวเองประโยชน์ของส่วนตัวไม่มีผลมาก มีผลมากต่อเมื่อผลนี้เราเอาไปใช้เพื่อประโยชน์กับส่วนรวม แล้วใช้ประโยชน์กับส่วนรวมนั้นมันเป็นเศษเดน เศษเดนเพราะมันเป็นวัตถุ มันเป็นของที่ ที่วัตถุที่จะแสวงหามาเจือจานกันได้ แต่คุณงามความดีของใจ ใจที่เสียสละ ใจที่มีวุฒิภาวะ ใจที่มันเข้มแข็งขึ้นมา อันนั้นมันเป็นประโยชน์ตรงนั้น เวลาคนที่ฉลาด มันก็เป็นสิ่งเร้าไง สิ่งเร้าจากภายนอก สิ่งเร้าจากภายใน เรามีจุดยืนมากน้อยขนาดไหน
ฉะนั้นจะบอกว่าเด็กเกิดมามีสังโยชน์ สังโยชน์เพราะการเกิด ไม่ใช่สังโยชน์เพราะไร้เดียงสาตอนเป็นเด็กนี้ เพราะเวลาเขาพูดกัน เขาพูดถึงวิบาก พูดถึงผล เขาไม่พูดถึงที่มา ไม่พูดถึงเหตุ ถึงปัจจัย มันต้องมีเหตุมีปัจจัยมันถึงเกิดมีสิ่งมีชีวิต แล้วบอกว่าสิ่งมีชีวิตนี้ไร้เดียงสา ไม่มีสังโยชน์ มันเป็นไปได้อย่างไร อันนี้เป็นผลแล้วนะ
มนุษย์เกิดจากกาม กามคุณ ๕ โลกเขาอยู่ด้วยกามคุณ ๕ มันทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่สูญสิ้นไป แต่เราเกิดจากกามมาแล้ว เราเอากามมาสร้างคุณงามความดีต่างหาก แล้วเกิดเหตุเกิดจากอะไร มนุษย์เกิดจากกาม แต่กามอันนี้มันเป็นกามของโลก เพื่ออะไร เพื่อมนุษย์ มันเป็นวัตถุไง
แต่ไอ้กรรมที่มันมาเกิดในขณะที่เกิดการปฏิสนธิจิตนั่นล่ะ เห็นไหมอันนั้นเป็นเรา สิ่งที่เป็นเรา ถ้าไม่มีปฏิสนธิจิตก็เกิดไม่ได้ เราพูดบ่อยมากว่ามนุษย์เกิดมาจากไข่ ไข่ของแม่ แล้วเวลาประจำเดือนที่ขับทิ้งไป มันไม่เห็นเกิดเป็นคน เอ๊า ไข่มันทำไมไม่เกิดเป็นคน เพราะไม่มีปฏิสนธิจิตไง เพราะไม่มีปฏิสนธิจิตไปปฏิสนธิจิตไปในไข่นั้นไง มันก็เกิดเป็นคนไม่ได้
เวลาเกิดเป็นคน มันต้องมีปฏิสนธิจิตอันนั้น แล้วปฏิสนธิจิตนั้นมันมีสังโยชน์ มันมีกรรมของมัน มันถึงมาปฏิสนธิใช่ไหม ปฏิสนธิมันก็จบที่ตรงนั้นแล้ว แล้วมันเกิดมาจะไม่มีสังโยชน์ได้อย่างไร ก็มันมีสังโยชน์ตั้งแต่ปฏิสนธินู่น สังโยชน์มันมีตั้งแต่ปฏิสนธิเกิดในไข่โน่น แล้วมาเป็นเด็กไร้เดียงสาจะไม่มีสังโยชน์ได้อย่างไร
นี่เขาพูดของเขาไป พูดออกไปโดยวิทยาศาสตร์ไง แต่เขาไม่ได้พูดด้วยญาณ ด้วยความรู้จากภายใน ถ้าด้วยญาณด้วยความรู้จักจากภายใน มันเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว มันเป็นธรรมชาติอย่างนี้อยู่แล้ว แต่เพราะความไม่เห็นความไม่เข้าใจของเขา แล้วความไม่เข้าใจของเขามันก็เป็นโทษของเขา อันนี้มันเสียอย่างเดียวเท่านั้น เขาบอกว่าประเด็นนี้มาจากเมื่อวาน
เมื่อวานเขามาบอกอย่างนี้ เราบอก เอ่อ เดี๋ยวพรุ่งนี้มีประเด็นแล้ว เพราะความคิดอย่างนี้ มันไม่ใช่ว่าคิดตั้งแต่ตอนนี้ หรือว่าเอาตอนนี้มาเป็นประเด็นเพื่อจะเบี่ยงเบนนะ มันมีอย่างนี้มานาน เพราะเราเห็นหนังสือมาหลายเล่ม มีพระหลายองค์มากเขียนอย่างนี้
มันก็เหมือน ในวงการพระ เวลาไปส่งบัญชีกลางปีเขาจะถามว่า ในวัดหนึ่ง มีพระนี่มีกี่พรรษาเท่าไหร่ พรรษาทั่วๆ ไปนี่มันมีมาก พอว่า ๕ พรรษาขึ้นไป ๕ พรรษามีกี่องค์ ๑๐ พรรษามีกี่องค์ ๒๐ พรรษามีกี่องค์
นี่ไง เวลาเราจะบอกว่า เวลาพระบวชใหม่ มันก็เหมือนกับผู้ปฏิบัติใหม่ ผู้ปฏิบัติใหม่ก็ไปรู้อะไรใหม่ๆ ใช่ไหม พอทุกอย่างเป็นเรื่องใหม่ๆ มันก็เหมือนกับสามล้อถูกหวย เห็นอะไรเข้าไปก็ตื่นเต้น พอตื่นเต้นก็ว่าสิ่งนั้นเป็นความถูกต้อง แต่พอพรรษามากขึ้น ประสบการณ์มากขึ้น อ้าว ไอ้ที่เห็นมามันผิดนะโว้ย
นี่มันถึงมีครูบาอาจารย์ไง มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด ความเห็นใหม่ๆ ก็ว่ากันไป เพราะไอ้เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่ว่านี่เป็นประเด็นครั้งแรกนะ ที่ว่าเด็กไร้เดียงสานี้ไม่มีสังโยชน์ เป็นพระอรหันต์ มีคนคิดมานานแล้ว มีคนคิดมาเยอะ แล้วก็เถียงกันมานานแล้ว อันนี้รอบใหม่มาอีกแล้ว มันเป็นเรื่องที่แบบว่าหยาบมาก มันไม่ใช่เกิดครั้งแรกหรอก
เห็นไหม ที่ข้างนอกเขาบอกว่า เราออกมาโต้แย้งเขาทำไมอะไร ประสาเราเขาเรียกวินยู พระตำรวจ เขาต้องคอยดูแลพระที่ผิดพลาด ตำรวจจะจับไง คือตำรวจพระจะเอาพระไปสอบสวน กรณีนี้ก็เหมือนกัน ที่มันเกิดขึ้นบ่อยๆ มันไม่มีผู้ดูแล พอไม่มีดูแลมันก็เกิดซ้ำเกิดซาก
ฉะนั้นกรณีนี้ที่ว่า เราออกเว็บไซต์ทำไม เราอยากดัง ไม่ใช่หรอก มันเหมือนกับโยมลูกศิษย์เรานี้ เขาบอกว่า หลวงพ่อ ในเว็บไซต์ทั่วๆ ไป มันก็เอาธรรมะเราไปออกกันทั้งนั้นล่ะ ฉะนั้นเราต้องมีเว็บไซต์อันหนึ่ง ให้เป็นความจริงไว้อันหนึ่ง
ฉะนั้นเว็บไซต์ของเรา ที่เราออกไปนี้ มันเหมือนกับว่าเรามีความจริงไว้อันหนึ่ง แล้วทีนี้มันก็อยู่ที่สังคมแล้ว สังคมว่าพอมันมีสิ่งเปรียบเทียบไง คือเราฟังข่าวสารรอบด้าน เราไม่ได้ฟังข่าวสารทางใดทางหนึ่งใช่ไหม อย่างที่ว่า เด็กนี้ไร้เดียงสาไม่มีสังโยชน์ เขาก็พูดกันไป แต่มันก็มีอันหนึ่งที่เราพูดไว้ เป็นสิ่งเปรียบเทียบ ใครจะมีปัญญาหรือไม่มีปัญญามันเรื่องของเขา จะได้มาตรวจสอบ เปรียบเทียบว่าอะไรผิดอะไรถูก
ถ้าพูดถึงว่าอยากดังอยากใหญ่นะ เราก็รุก เราก็พูดอะไรได้ทั้งนั้นล่ะ คือว่าเราจะทำการเผยแพร่ทางแนวรุก คือว่ามีการประชาสัมพันธ์ มีการเผยแพร่ แต่เราไม่เคยไปไหนเลยเห็นไหม เราไม่ได้ขยับไปไหนเลย ไม่เคยก้าวออกไปจากวัดเลย ใครจะเอาอะไรมาแจก เราก็ไม่ให้ ไม่ให้ ไม่ให้ ไม่ให้ทำ ไม่ให้ทำทั้งนั้นเลย
แล้วบอกว่าอยากดัง เพียงแต่ที่ทำนี้ถ้ามันไม่ทำ มันก็แบบว่าไม่รับผิดชอบ เหมือนกับมันทอดธุระเกินไป แต่มันก็ทำตามนั้น แต่จะบอกว่าจะไปรุกคนโน้นไปรุกคนนี้ ไม่มีหรอก เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเรื่องมันเคยเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะเกิดกันนี้มาหลายร้อยเท่าแล้ว ตั้งแต่สมัยพุทธกาลโน่น
แล้วพอเราตายไปหมดแล้วนะ มันก็จะมีเรื่องอย่างนี้ไปอีก มันจะมีมนุษย์แปลก ๆ อย่างนี้ออกมาอีก มนุษย์ที่มีไอเดียแปลกๆ แล้วก็จะออกมาเสนอไอเดียแปลกๆ อย่างนี้ ยังมีไปข้างหน้า เราย้อนไปในพระพุทธศาสนาเรา มันจะมีพระที่ออกมาทำอย่างนี้กี่องค์แล้ว แล้วในปัจจุบันนี้ก็เป็นอย่างนี้ใช่ไหม ข้างหน้าจะมีอีก แล้วว่าเขาแปลกๆ เราแปลกหรือเปล่า เราก็อาจจะแปลกๆ ด้วย เพราะเราก็เสนออะไรที่แปลกๆ กับเขาเหมือนกัน ที่ไม่เหมือนเขาเห็นไหม ขัดแย้งเขาตลอดเลย
เราก็เสนออะไรที่แปลกๆ เข้าไปเหมือนกัน แต่ตรวจสอบได้ แต่ต้องตรวจสอบ ต้องดูแลกัน สิ่งที่ดูแล สิ่งที่ตรวจสอบนี้ก็เพื่อสังคมโลก นี่พูดถึงเวลาที่เขาว่าอยากดัง อยากใหญ่ หลวงตาท่านเมื่อก่อน เวลาท่านพูดถึงเรื่องอย่างนี้ ท่านบอกเลยนะ ถ้าเกิดคนไม่เข้าใจอะไรใช่ไหม อย่างเช่นคอมมิวนิสต์ ต้องล้างสังคมก่อนแล้วถึงสร้างสังคมใหม่ นี่ก็เหมือนกัน บ้านเรือนของเราต้องเผาทิ้งหมดเลย ทำลายหมดเลย แล้วไปเริ่มต้นสังคมใหม่ มันไม่ใช่ เขาจะเผาบ้าน เรารักษาบ้านนั้นไว้ เผาบ้านเผาเรือนหมดเลยแล้วค่อยไปปลูก
หลวงตาพูดนะเผาบ้านเผาเรือนหมดเลย แล้วก็ไปทำฟักแฟงแตงกวา ไปหาเงินไง เพื่อเอาเงินมาสร้างบ้าน ทีนี้เขาก็เผาบ้านทิ้งเลย นี่ ธรรมะพระพุทธเจ้าก็มีหลักอยู่แล้วใช่ไหม ทำลายมันหมดเลย อะไรก็ใช้ไม่ได้ ไม่ต้องใช้หมดเลย สติก็ไม่ต้อง อะไรไม่ต้องหมดเลย มีสติจริงสติปลอม ไม่มีหรอก ไม่มี มึงคิดเอาเองหมดเลย
สติก็คือสติ เพราะว่าสุดท้ายแล้วเผาบ้านหมดเลยนะ แล้วก็บอกว่าจะมาทำฟักแฟงแตงกวา เพื่อจะหาเอาฟักแฟงแตงกวาไปขายไง เพื่อจะไปซื้อไม้ ซื้อเหล็กมาสร้างบ้านอีก ก็บ้านมันมีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้ามีอยู่แล้ว ศาสนามีอยู่แล้ว มึงจะเผาบ้านเผาเรือนไปไหน
แล้วเรามาดับไฟ เรามารักษาบ้านรักษาเรือน ก็ว่าเราอยากดัง จะทำดีนี่ก็ยากน่าดู แต่อย่างนี้มันไม่ใช่ยาก มันเป็นจริตเป็นนิสัย นี่พูดถึงสิ่งที่เราสร้างไว้ เราดูแลไว้ รักษาไว้ ฉะนั้นสิ่งที่พูดนี้ ถ้าเราตั้งสติยั้งคิดนิดหนึ่ง ยิ่งเดี๋ยวนี้คอมพิวเตอร์ พวกเว็บไซต์มันดีอย่างหนึ่ง มันจะไปรื้อข้อมูลได้เร็ว
ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะ ทางวิชาการ เราต้องไปรื้อเลย สมัยอยุธยามีเรื่องอะไรบ้าง สมัยกรุงเทพมีอะไรบ้าง พระที่ทำกันมาอย่างนี้มันมีมาเท่าไร่ เยอะแยะไปหมด ทีนี้ถ้าคอมพิวเตอร์มันมีอย่างนี้นะ กดทีเดียวมันก็ออกหมดไง มันจะได้ตรวจสอบได้
มันมีมาเยอะแยะแล้ว เพียงแต่ไอ้พวกเรานี้มันเด็กใหม่ มันไม่มีจุดยืน สิ่งใดมาผ่านตาก็เชื่อ ไม่คิดโต้แย้งบ้างล่ะ ว่าสิ่งนั้นมันจริงรึเปล่า มันเป็นไปได้รึเปล่า มันเป็นไปได้ไหม เห็นไหมถึงบอกว่าเวลาเราประพฤติปฏิบัติ พระพุทธเจ้าถึงบอก กาลามสูตร ไม่ให้เชื่ออะไรเลย ไม่ให้เชื่อสิ่งใดๆ เลย ไม่ให้เชื่อแม้แต่พระพุทธเจ้าพูดด้วย ให้พิสูจน์เป็นความจริงขึ้นมา ถ้าความจริงขึ้นมาถึงเป็นความจริง
ฉะนั้นโดยหลักโดยเกณฑ์ มันตายตัวอยู่แล้ว ไม่มีสังโยชน์จะไม่มาเกิด เกิดเพราะสังโยชน์ คำว่าเกิดเพราะสังโยชน์ แล้วสังโยชน์คืออะไร เราบอกว่าเกิดเพราะอวิชชา อวิชชามันเป็นเชื้อโรค สังโยชน์มันเป็นเครื่องร้อยรัด รัดจิตไว้ไง
สักกายทิฏฐิ พระโสดาบัน ความเห็นของจิตใต้สำนึก มันว่าเป็นเรา นี่คือสังโยชน์ เห็นไหม กามราคะ-ปฏิฆะ เกิดกามราคะเพราะเหตุใด เกิดกามราคะเพราะมีปฏิฆะ มีปฏิฆะคือมีข้อมูล มีความต้องการ มีความปรารถนา มันถึงเกิดกามราคะ ถ้าไม่มีข้อมูลเห็นไหม เพราะตัวจิตมันไม่มีสิ่งใดเป็นข้อมูลของมันเลย มันจะไปเกิดข้อมูลอะไร
อย่างที่คนที่มีกามราคะนี้มันเกิดจากอะไร เกิดจากจิตมันถวิลหาก่อนนะ มันไม่ได้เกิดเพราะเราต้องการนะ เกิดจากปฏิฆะไง พอไม่ได้ดังใจมันก็เกิดปฏิฆะ กามราคะไม่ได้ มันก็เกิดปฏิฆะ มันส่งเสริมกัน ถ้าสิ่งนี้ขาดไปนี่คือสังโยชน์ แล้วกิเลสกับสังโยชน์มันต่างกันอย่างไร กิเลสเป็นกิเลส สังโยชน์มันเป็นผลตอบสนองที่มันร้อยรัดมาแล้ว
ถ้าเราละสังโยชน์ได้ก็ละกิเลสได้ มันเกี่ยวเนื่องกัน แล้วบอกว่าไม่มีสังโยชน์ คนไม่มีสังโยชน์คือไม่มีกิเลสนั่นแหละ เด็กไม่มีสังโยชน์ เด็กก็ไม่มีกิเลสอะไรเลย เด็กไม่มีกิเลส ทำวิจัยสิ ทำวิจัยเด็กสัก ๑,๐๐๐ คน เด็กมีนิสัยต่างกันอย่างไร
มันก็เห็นๆ อยู่ เวลาเขาเอาวิทยาศาสตร์เป็นตัวตั้ง แล้วเอาวิทยาศาสตร์เป็นตัวแก้ มันก็เห็นกิเลสทั้งนั้นล่ะ คนเกิดมามีกิเลส กิเลสคือสังโยชน์ สังโยชน์คือกิเลส เพียงแต่ ฌานกับสมาธิไง เมื่อวานก็บอกฌานกับสมาธิต่างกันอย่างไร สมาธิกับฌาน ฌาน ๒ ฌาน ๓
ฌานคือสิ่งที่ฌานโลกีย์ มันมีอยู่แล้วในโลก อย่างเช่น ฤๅษีชีไพร เขาเข้าฌานสมาบัติเห็นไหม มันมีอยู่แล้ว สมาธิเกิดจากจิต สมาธิเกิดจากจิตเห็นไหม สมาธินี่จะเป็นมรรค ๘ แต่ถ้าฌานโลกีย์มันมีอยู่แล้ว แต่เขาไม่ได้ใช้ประโยชน์กับมันไง ฌานโลกีย์คือเป็นเรื่องของโลก
สมาธิ พระพุทธเจ้าย้อนตั้งแต่เป็นราชกุมาร ที่ไปนั่งอยู่โคนต้นหว้า นั้นเรื่องของสมาธิ แต่ถ้าเป็นฌาน มันเป็นเรื่องแบบว่าวัตถุที่มีอยู่แล้วประจำโลก แบบของที่โลกนี้มีอยู่ แต่สมาธิ สมาธิสิ่งที่โลกนี้มีอยู่ใช่ไหม แต่คนไม่ใช้ประโยชน์ของมันใช่ไหม แล้วใช้ประโยชน์มันจะเป็นความเห็นของโลกไป ก็เลยเอาทำสมาธิมา สมาธิกับฌานมันใกล้เคียงกัน เพราะมันเป็นอาการของใจทั้งหมด
ฌานเกิดจากจิต สมาธิก็เกิดจากจิต พอเกิดจากจิตมันเป็นนามธรรม มันใกล้เคียงกัน แต่ถ้าไม่มีสมาธิ ฌานมันมีอยู่แล้ว คือว่าเรามีกิเลสขนาดไหน ถ้าเราใฝ่ดี เราทำที่จิตสงบ มันก็สงบได้ แต่สงบแบบฌานโลกีย์ไง แต่ถ้าเป็นสมาธิขึ้นมา มันไม่ใช่ฌานโลกีย์ มันไม่มีกำลังส่งออก มันก็เป็นของมัน
ของโลกๆ มีอยู่อย่างนี้แหละ แต่พระพุทธเจ้ามาพลิกแพลงใหม่ ชีวิตประจำวัน ความเห็นในกิเลสประจำวันเราก็มีอยู่แล้วทั้งนั้นล่ะ แต่หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ ก็เอาชีวิตเรามาเตือนเราไง เอาชีวิตประจำวันเรามาเตือนเรา แต่เราก็ว่า โอ้ ธรรมะเพื่อชีวิตประจำวัน เอาชีวิตประจำวันไปเหยียบธรรมะไว้นะ ธรรมะอยู่ใต้อุ้งตีนชีวิตประจำวันเลย ชีวิตประจำวันมีค่ามากกว่านะ ธรรมะต้องอยู่ใต้อุ้งตีนนะ
แต่เวลาพูดถึงธรรมะ มันเหยียบชีวิตประจำวันไว้ไง ชีวิตประจำวันก็คือโลก ธรรมะคือความสุขใจที่เราต้องการปรารถนา ทำไมต้องเอาชีวิตประจำวันนี้มาขี่มันไว้ แต่ถ้าเราตั้งใจทำความดี ตั้งใจทำความสงบ สงบจิต สงบใจ แล้วเราก็ใช้ชีวิตประจำวันเหมือนกัน แต่เพราะเรามีธรรม เรามีความสงบร่มเย็นในหัวใจ เราใช้ชีวิตประจำวันอีกอย่างหนึ่ง แต่ถ้าเราบอกว่า อู๊ย ชีวิตประจำวันเป็นใหญ่ ธรรมะเพื่อชีวิตประจำวัน มึงก็กราบชีวิตประจำวันมึงสิ มึงมากราบธรรมะทำไมวะ พอบอกธรรมะเป็นชีวิตประจำวันปั๊บ เอาชีวิตประจำวันเป็นใหญ่ แล้วเอาชีวิตประจำวันนี้เป็นตัวตั้งเลย เอาธรรมะไปไว้อุ้งตีน แล้วก็บอกว่าธรรมะ ก็บอกว่า อู๊ย ชีวิตประจำวันเป็นใหญ่ พวกนี้ก็เชื่อกันไปหมดเลย
เอาธรรมะเป็นใหญ่ อย่าเอาโลกเป็นใหญ่ ถ้าเอาธรรมเป็นใหญ่ เราทำความสงบของใจเข้ามา แล้วชีวิตประจำวันจะดีขึ้นมา ดีขึ้นมาจากจิตที่มันสงบ จิตที่มีหลักมีเกณฑ์ พอจิตที่มีหลักมีเกณฑ์แล้วเห็นไหม มันไม่โดนกิเลสหลอก กิเลสหลอกไม่ได้มันถึงสงบ
แต่เพราะกิเลสมาหลอกจิตได้ มันถึงฟุ้งซ่าน ทุกข์ยากฟุ้งซ่าน เพราะโดนกิเลสในหัวใจเราหลอกลวง แต่ถ้าเราทำสงบของใจได้ มีหลักมีเกณฑ์ มีฐานของจิต ชีวิตประจำวันจะสุขน่าดูเลย เอ๊ ทำไมนู้นก็ดีไปหมดเลย นี่ก็ดีนะ แต่เวลามันทุกข์นะ มันก็บีบคั้นเห็นไหม นี่มันโดนหลอกตั้งแต่หัวใจ
แต่ถ้าข้างในมันมีความสงบแล้วนะ โน้นก็ดี นี่ก็ดี ทำไมเมื่อก่อนไม่เห็นดีอย่างนี้เลย มันดีอย่างนี้เพราะจิตมันสงบนะสิ เห็นไหม นี่ธรรมะเป็นใหญ่ ชีวิตประจำวันมันก็จะสุขสงบไปด้วย แต่เขาบอกว่า ต้องเอาธรรมะเพื่อชีวิตประจำวันเห็นไหม แล้วก็เครียด ฟุ้งซ่านมากเลย เมื่อไหร่มันจะมีสงบซะที เมื่อไหร่ธรรมะจะเกิดซะที เอาชีวิตประจำวันขี่มันไว้ไง แล้วจะให้มันโผล่หัวขึ้นมา มันเลยโผล่หัวไม่ได้ไง เพราะชีวิตประจำวันเหยียบมันไว้
แต่ถ้าเอามันเป็นหลักนะ เดี๋ยวธรรมะจะเกิด แล้วชีวิตประจำวันจะเป็นความสุขเนาะ นี่พูดถึงหลักเกณฑ์ จิตที่ละเอียด ถ้ามีจิตที่ละเอียดลึกซึ้ง แล้วมันจะเห็นคุณค่าของคุณงามความดี คุณค่าของคุณสมบัติของใจ ถ้าจิตมันหยาบนะ จะเห็นแต่ผล เห็นแต่เทียบเทียง แล้วก็พูดไปตามประสาความนึกคิด ไม่เป็นประโยชน์กับตัวเองเลย เอวัง